วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

สารจากลูกศิษย์.. ที่กล่าวถึงอาจารย์.. ด้วยใจจริง

มีคนถามผมว่า.. เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ เหรอ.. ผมตอบว่า "ใช่ครับ"..
เคยพบท่านด้วยเหรอ.. ผมตอบว่า "ไม่เคยครับ".. อ่านแต่หนังสือกับฟังแต่เสียงเทศนาของท่านใน ซีดีเท่านั้น..

อย่างนี้.. เขาเรียกว่าลูกศิษย์.. กับอาจารย์กันด้วยเหรอ.. สำหรับคนอื่นผมไม่รู้.. แต่สำหรับผมท่านเป็นอาจารย์ของผมแน่นอน..

ท่านมีดีอะไรฤา?.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.. แต่ข้อความข้างล่างนี้เป็นคำพูด.. ที่ผมรู้สึกอย่างไรถึงพูดได้เต็มปากเต็มใจว่า ท่านเป็นอาจารย์ของผม..

ตั้งแต่จำความได้ ผมผูกพันอยู่กับวัดและศาสนาพุทธเสมอ ไม่ว่าจะเคยเป็นลูกศิษย์วัด.. ทานข้าววัดตอนพักกลางวัน(เกี่ยวกันไหมเนี้ย).. บวชเณร.. บวชพระ.. ทำบุญตักบ้านทุกเช้า (ตอนอยู่ต่างจังหวัดนะ)..

ศีลห้า อริยสัจยสี่ อนิจจา ทุกขัง อนัตตา.. ได้ยินคำเหล่านี้ มาบ่อยมาก.. แต่ก็สงสัยว่า.. ถ้าเราจำคำสอนของพระพุทธเจ้าหมด คงจะพบนิพพานมั้ง.. แต่ก็สงสัยว่า.. ถ้าคนอ่านหนังสือไม่ออก ก็ไม่มีสิทธิ์เห็นนิพพานนะสิ.. แล้วคนศาสนาอื่นเขาก็ไม่มีโอกาสนะสิ..

เคยคิดว่า.. เราเกิดมาทำไม.. แล้วทำไมต้องเกิดมาด้วย และเคยได้ยินคำตอบมาว่า "เกิดมาเพื่อเดินทาง เพื่อให้พ้นทุกข์" ฟังแล้วก็เข้าในนะว่า "ทุกคนก็ต้องการพ้นทุกข์" แต่วิธีที่จะพ้นทุกข์ ทำกันอย่างไรนะ.. ต้องบวชเป็นพระ หรือผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องเดินช้าๆ ท่าทางสงบตลอดเวลา..

หลังจาก ได้บวชพระตามประเพณี และได้เข้าไปอยู่วัด.. และเห็นข้อวัตรของพระในวัด แล้วรู้สึกเลยว่า.. ไม่เห็นมีอะไรที่แตกต่างจาก.. ชีวิตนอกวัดเลย.. ซึ่งพอสึกออกมา ความรู้สึกต่อการทำบุญกับพระสงฆ์ ได้เปลี่ยนไปมาก.. ส่วนมากจะทำบุญกับสาธารณะประโยชน์เป็นส่วนใหญ่..

ในใจยังคิดอยู่เสมอว่า "ทำไมถึงต้องเกิดมา เรามีภาระกิจอะไรบ้างอย่างหรือปล่าวที่จะต้องทำ" คิดเรื่องนี้อยู่เสมอ.. และยังไม่รู้ว่าจะหาคำตอบอย่างไร.. แต่ใจหนึ่งก็คิดนะว่า.. น่าจะมีอะไรให้เราได้คำตอบนี้บ้าง..

เมื่อ กลาง ปี 2552 ได้ยินน้องๆ ที่ทำงาน คุยกันว่าไปลงทะเบียน ฟังหลวงพ่อปราโมทย์มาเทศนาที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขนาดไปลงทะเบียนใน Internet ตั้งแต่เปิดรับลงทะเบียน ยังได้ลำดับที่ 700 กว่า.. เราได้ยินอย่างนั้น.. รู้สึกเลยว่า อะไรจะเวอร์ขนาดนั้น..

หลังจากนั้นก็ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อปราโมทย์นี้เรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากก็จาก พี่ชายที่สนใจปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว จะเล่าให้ฟังเป็นประจำ และยังได้ หนังสือและ ซีดี มาหลายเล่ม.. แต่ไม่เคยฟังและไม่หยิบมาอ่านเลย.. เพราะความรู้สึกตอนบวชเป็นพระยังฝังใจอยู่มาก..

ประมาณปลายปี 2552 ที่ทำงานมีสัมมนาฯ เป็นเรื่อง การปฏิบัติธรรม กับชีวิตการทำงาน ซึ่งพี่ที่ทำงานเป็นวิทยากร ซึ่งมีคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ ที่ว่า "เวลาคิดไม่รู้ แต่เวลารู้ไม่คิด" ซึ่งเมื่อกลับมาที่บ้านก็ลองสังเกตุตัวเองดู ก็จริงอย่างพูด คือเวลาเราคิดเราจะไม่รู้สึกตัว แต่เราเราไม่คิดเราจะรู้สึกตัว.. ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เริ่มหันกลับมาสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครับ..

ประมาณต้นปี 2553 เพื่อนในห้องทำงานซึ่งเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อปราโมทย์ ได้เอาหนังสือ และ ซีดีมาให้คล้ายๆ กับของพี่ชาย.. แต่ก็ไม่ฟังและไม่หยิบมาอ่านเหมือนเดิม.. แต่ก็ฟังเพื่อนแล้ว ลองคิดดู.. และมีคำถามๆเพื่อน.. เช่นว่า การดูอริยบถทุกขณะ แล้วจะดูอย่างไรละ จะไม่เป็นคนไม่สติ รู้เนื้อรู้ตัวไปเลยหรือเพราะมัวแต่ดูสภาวะตัวเอง (แค่คำถามก็โง่แล้ว :-p) เพื่อนก็อธิบายให้ฟัง แต่เราก็ไม่เข้าใจ (ออกแนว.. พวกน้ำเต็มแก้ว)

ช่วงเดือนมีนาคม ปี2553 ไปปฏิบัติงานที่ จ.ระยอง ช่วงเย็นได้ไปทานอาหารร่วมกับ พี่ที่ทำงานด้วย.. ซึ่งพี่เขาสนใจปฏิบัติธรรมมานานมากแล้ว.. จำได้ว่าได้ถามพี่เขาเรื่องว่า ที่มีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีหลายองค์ เป็นของนิกายมหายานใช่หรือปล่าว.. พี่เขาได้อธิบายเกี่ยวกับศาสนาพุทธ.. ได้เป็นลำดับขั้นตอน.. จนเรามีความรู้สึกเลยว่า.. เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยจริงๆ..

หลังจากกลับมาจากระยอง.. มีความตั้งใจว่า.. จะลองศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าใหม่อีกครั้ง.. เลยกลับมาคุยกับเพื่อนว่า.. พอมีอะไรแนะนำบ้าง เพื่อนเลยบอกให้ลองไปอ่านหนังสือของ อาจารย์สุรวัฒน์ (ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน) เพราะจะอ่านง่าย..

เลยเข้าไปอ่านหนังสือของ อ.สุรวัฒน์ ใน Web www.wimutti.net .. เจอคำถามแรก ในบทนำ.. พระพุทธศาสนาสอนอะไร.. แต่เมื่อถูกถามกลับตอบไม่ได้.. เพราะมันความเข้าใจทางความคิด.. ไม่ใช่เข้าใจทางปัญญาที่รู้แจ้ง.. (ตอนนี้เหมือนน้ำในแก้ว.. ถูกเททิ้งไปเกือบหมดแล้ว.. อยากรับน้ำใหม่บ้าง)

หลังจากอ่านจบ.. รู้สึกประทับใจมาก.. เลยเอามาโพสต์ ในบล๊อกของตัวเองเสียเลย.. สิ่งที่ทำต่อมาคือ.. กลับไปค้นแผ่นซีดี ที่เก็บไว่้.. แล้วนำมาเปิดในรถที่ เปิดได้เฉพาะ Audio CD จึงเลือกแผ่นที่ชื่อว่า.. วิธีปฏิบัติธรรม.. เทศนาโดยหลวงพ่อปราโมทย์

.. จำได้ว่าฟังอยู่ประมาณ 3 - 4 รอบ (ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) แต่อยากฟังแผ่นอื่นบ้าง เลยจัดการหาใน Internet แล้วโหลด เป็น MP3 เอามาเก็บไว้ในมือถือ เริ่มฟังอย่างสนุก.. ทำไมถึงเรียกว่าสนุก..

เพราะถ้าลองสังเกต.. ท่านจะเทศนาเรื่องซ้ำๆ.. แต่ทำไมเรายังฟัง.. เพราะเมื่อเราลองทำตามที่ท่านสอน.. แล้วกลับมาฟัง.. เราจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ท่านเทศนา.. ทีละประโยค.. ซึ่งประโยคเหล่านั้น เราก็ได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว.. แต่เพิ่งเข้าใจความหมายเมื่อ จิตมันมีปัญญาที่จะรู้.. ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ (ภูมิใจให้รู้ว่าภูมิใจ อิอิ)

ผลของการเปลี่ยนแปลงต่อตัวเองนั้น.. ไม่ขอบอกนะครับ.. แต่กระซิบนิดหนึ่งก็ได้ว่า "เพิ่งรู้ว่าตัวเองนี้.. เป็นคนเลวสุดๆ เลยละ"

นับจาก เดือนเมษายน 2553 จนถึงนะวันนี้.. ลูกศิษย์คนนี้.. ได้เริ่มเห็นธรรมะอันประเสริญที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้และสั่งสอนมนุษย์ มาไม่น้อยกว่า 2500 ปี.. โดยการถ่ายทอดของ หลวงพ่อปราโมทย์

ลูกศิษย์คนนี้.. ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ได้สั่งสอนลูกศิษย์คนนี้.. ให้รู้ว่าภาระกิจของเราคืออะไร..

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

นั่งสมาธิ.. กับอาการแปลกๆ

เมื่อคืนที่ 14 กันยายน 2553 ช่วง 21.00น. ได้นั่งสมาธิโดยการ ดูร่างกายพองยุบ ให้ใจเป็นผู้ดู เมื่อจิตไหลไปก็ตามรู้ ทำอย่างนี้สักพักหนึ่ง..

แล้วมีความจิตก็เริ่มรวม แล้วรู้สึกว่ามือที่ทับกันอยู่ หนักมากๆ.. ตอนนั้นเลยคิดว่าเพ่ง..
สักพัก เริ่มรู้สึกว่าตัวเริ่มหายไป แล้วมีไออุ่นไหลผ่านตลอดเวลา..

แต่ก็เห็นอาการนี้ตลอดเวลา แล้วคิดว่าเป็นปิติ.. แต่ตอนนี้จิด มันสั่นมาก ความกลัวเริ่มเข้ามาแทน กลัวขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็อยากเลิก แต่ใจหนึ่งก็อยากดูต่อ สักพักปากเริ่มสั่นจะร้องไห้ อยากตะโกนเรียกแฟนมาช่วย แล้วอยู่ดีๆ แฟนก็ลุกขึ้นมา..

เลยหยุด.. นั่งสมาธิ.. แล้วถามแฟนว่าลุกขึ้นมาทำไม.. แฟนบอกว่านอนไม่หลับ.. เลยเล่าอาการที่เกิดให้แฟนฟัง.. ตอนเราตัวร้อนรุ่มๆ ใจสั่นๆ.. เป็นอาการที่แปลกมาก ตั้งแต่นั่งมาไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย..

เช้ามาขับรถเปิด ซีดี หลวงพ่อปราโมทย์ฟัง ท่านพูดเรื่องสู้ตาย.. ถ้าภาวนาเมื่อหมดภูมิปัญญาแล้ว มันจะมีสงครามข้ามภพข้ามชาติ.. ซึ่งจะมีทางเลือกเราสองทางคือ.. ไม่บ้า.. ก็ตาย เท่านั้นถึงจะข้ามได้..

.. ทำให้ถึงที่สุด.. ก่อนนี้รอยเท้าของผู้เดินทางตามรอยพระพุทธเจ้า จะจางหายไป..

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ครั้งแรกกับการรู้สภาวะ ว่ากายไม่ใช่ของเรา

ช่วงเวลาประมาณ 2ทุ่มกว่าๆ ของทุกวัน จะเป็นช่วงที่พาเด็กๆ สวดมนต์ ซึ่งปกติช่วงนี้ จะใช้การสังเกตุร่างกายเป็นหลัก เพราะเด็กจะเสียงดัง ดูจิตไม่ไหว

การดูกายก็จะดูว่าปากกำลังขยับขึ้นลง เวลากำลังสวดมนต์ ร่างกายเคลื่อนไหวเวลา ก้มลงกราบ ถ้าใจหลงไปคิดก็คอยรู้ไป รู้บ้างไม่รู้แล้วกำลังที่จะทำได้

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2553 เวลาประมาณ 20.20น. ขณะที่เตรียมตัวจะ นั่งคุกเข่า ก็เห็นวัตถุเคลื่อนผ่านตาไป รู้สึกตกใจ พอหายตกใจเลย คิดได้ว่า เป็นช่วงที่แขนซ้ายของเรา เคลื่อนมายันตัวเพื่อให้ นั่งตัวตรงนั่นเอง สิ่งที่เห็นเป็นวัตถุที่เราไม่รู้จัก และไม่ใช่ของเราแน่ แต่บอกไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างไร เพราะมันเร็วมาก

เราคิดในใจว่านี่คงเป็น สภาวะที่หลวงพ่อปราโมชย์ ท่านพูดอยู่เสมอว่าเมื่อ จิตมันรู้สึกตัวได้เองอัตโนมัติ จะเห็นว่ากายไม่ใช้เรา จะเห็นเป็นแค่ก้อนธาตุ ที่เรามาอาศัยอยู่เท่านั้น

เลยต้องรีบมาบันทึกเก็บไว้ก่อน เพราะตอนนี้ยังจำสภาวะนั้นได้อยู่... หวังว่าเราคงพอเริ่มเห็นรอยเท้า ของผู้คนที่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า บ้างแล้ว... (ให้กำลังตัวเองบ้างนะ)

... แต่ก็จะไม่เร่งรีบจน การปฏิบัติผิดเพี้ยนไป...