คำว่า "รู้สึกตัว" น่าจะเป็นคำที่ชาวพุทธทุกท่านได้ยินมาตลอดอยู่แล้ว..
แล้วรู้สึกตัวมันเป็นอย่างไร.. ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าท่านเข้าใจว่าอย่างไร แต่สำหรับผู้เขียนเองแล้ว เข้าใจความหมายของคำว่า "รู้สึกตัว" ตามที่ได้สัมผัสมาเป็นแบบนี้ ซึ่งอาจจะยังผิดอยู่ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนอยากจะถ่ายทอด เผื่อท่านผู้รู้ที่มาอ่านบทความนี้ จะได้แนะนำและตักเตือน ผู้เขียนจักขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ครับ
บทความนี้พยายามที่จะสื่อออกทางภาษาเขียนให้มากที่สุด ซึ่งคงจะไม่ตรงสภาวะที่เกิดขึ้นจริง แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้เป็นแนวทางในการสังเกตของแต่ละท่านครับ..
ผู้เขียนขอเริ่ม ด้วยการมาแบ่ง คำว่า "รู้สึกตัว" ออกเป็น 2 คำ คือ รู้สึก + ตัว
"รู้สึก" เป็นสภาวะที่รับรู้ ได้โดยตรง จากทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยปราศจากการปรุงแต่ง จากความคิด ความจำ ความเข้าใจ ความรู้ คำบอกเล่าใดๆ ทั้งสิ้น.. แล้วแบบไหนที่เรียกว่า ความรู้สึก แบบไหนที่ไม่เรียกว่าความรู้สึก..
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างแบบนี้นะครับ.. ท่านเห็นคำว่า "ลำไย" กับคำว่า "ลิ้นจี่" แล้วคิดถึงอะไรบ้าง
ผู้เขียนเข้าใจว่า บางท่าน คงจะ นึกถึงต้นของมัน นึกถึงรูปร่างลักษณะรูปร่างของมัน นึกถึงลักษณะของการแกะเพื่อเอาเนื้อในออกมารับประทานทาน หรือนึกถึงรสชาติของมัน..
แต่เมื่อเรากลับไปดูที่นิยามของ "รู้สึก" สิ่งที่ท่่านนึกคิดเหล่านั้น มันไม่ใช่ความรู้สึก เพราะ เราอาศัยความจำ ที่เราได้ประสพมา นำมาปรุงแต่งออกมาเป็น "ความคิด"
แล้วถ้าผู้เขียนถามใหม่ว่า.. ท่านสามารถอธิบายความแตกต่างความหวานของ "ลำไย" และ "ลิ้นจี่" ออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนเพื่อให้คนที่ไม่เคยทานผลไม้ สองชนิดนี้ได้หรือไม่.. บางท่่านอาจจะอธิบายได้อย่างละเอียด แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า คนที่ไม่เคยทาน สามารถเข้าใจรสชาติ มันได้เหมือนที่เราบอกได้หรือไม่.. เพราะความรู้สึกนั้น เป็นสภาวะที่ต้องเกิดขึ้น ของคนนั้นเฉพาะตน
ขออีกตัวอย่างนะครับ.. ท่านลองกระดิกนิ้วเท้า (ต้องขออภัย ที่ต้องยกตัวอย่างแบบนี้) ลองสังเกตุดูว่า รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า โดยที่ไม่ต้องใช้ตามองได้ไหม.. ถ้าได้..นั่นแสดงว่า กำลังรู้สึกอยู่
ท่านพอเข้าใจความหมายของ รู้สึกได้บ้างนะครับ เพราะความรู้สึกกับความคิดนั้นจะมีเส้นแบ่งบางๆ อยู่.. ช่วงแรกของการฝึก ท่านอาจจะยังไม่สามารถแยกเส้นบางๆ ระหว่าความรู้สึก กับความคิดได้ แต่ไม่ต้องห่วงครับ.. เมื่อวันที่นั้น เราจะเห็นได้เอง..
ความคิด.. สามารถแปลออกมาเป็นภาพ เสียง คำพูดได้
ความรู้สึก.. เป็นสภาวะที่รู้ได้เฉพาะตน ไม่สามารถแปลออกมาเป็น ภาพ เสียงหรือคำพูดได้
ผู้เขียนขอกลับมาที่คำว่า "ตัว".. ซึ่งก็คือ กายกับใจ ของเรานั่นเอง
ดังนั้นผู้เขียนขอสรุปแบบกำปั้นทุบดินเลยนะครับว่า.. รู้สึกตัวก็คือ การรู้สึกถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ในปัจจุบันขณะ หรือปัจจุบันสันตติ (แบบตามติดๆ)
ผู้เขียนขอจบบทความไว้อย่่างนี้ก่อนนะ.. ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งหงุดหงิดเลยนะครับ เพราะบทความต่อไป จะต้องพึ่งผลความนี้ด้วย คอยติดตามต่อไปนะครับ..
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
ชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวลูกเศรษฐีชาวมาเลเซีย มาบวชอยู่ที่เมืองไทยแล้วไม่ยอมสึก ยอมทิ้งมรดกกว่า 300 ล้านบาท..
เข้าใจว่าข่าวน่าจะพยายามนำเสนอว่า.. การซึ้งในรสพระธรรมถึงกับยอมสละทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น..
คำว่า.. ซึ้งในพระธรรม.. ไม่รู้แปลว่าอย่างไร..
ถ้าเป็นสมัยก่อนผู้เขียนเองคงมีความคิดว่า.. ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้นนะ มีเงินมากขนาดนั้น อยู่ได้อย่างสบาย..
ถ้ามามองกันจริงๆ สิ่งที่เราต้องการคือความสุข ไม่ใช่เงินทอง.. แต่เงินทองก็ซื้อความสุขได้นะ.. ไม่ใช่ฤา
ลองสังเกตุไหม.. ความสุขที่เกิดจากเงินทอง มันเป็นความสุขที่ต้องพึ่งปัจจัยจากภายนอกเป็นหลัก..
ไม่ใช่เศรษฐีเลยไม่แน่ใจว่าเขาเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง.. แต่ขอลองยกตัวอย่างว่า.. มีเงินมากมายสามารถกิินเหล้าดีๆ แพงๆ แต่ถ้าถามว่า ถ้าทานคนเดียวกับทานกันคนที่รู้จัก อย่างไหนจะดีกว่ากัน.. มีเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ เพื่อให้คนอื่นมาสนใจ หรือใส่แล้วไม่ให้คนอื่นเห็น อย่างไหนดีกว่ากัน..
ความสุขเหล่านี้.. มันคล้ายกับเป็นความสุขที่สมบูรณ์ ที่มนุษย์ทุกคนโหยหา.. แต่ความจริงพระพุทธเจ้า ท่านได้ค้นพบว่า.. ความสุขที่แท้จริงนั็น สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น เราก็สามารถมีความสุขได้ทุกเวลาและไม่จำกัดสถานที่..
ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ.. ก็ลองไปถามพระลูกเศรษฐีมาเลเซียดูซิ ว่าจริงไหม.. :-b
บทความนี้.. อยากบอกสั้นๆ แค่รู้สึกตัวให้เป็น มีสติที่เป็นอัตโนมัติ.. แล้วลองเปรียบเทียบความสุขที่เคยสัมผัสมาว่ามีความแตกต่างกันมากขนาดไหน..
ลองฝึกดูนะครับ.. แล้วจะรู้ว่ามันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
เข้าใจว่าข่าวน่าจะพยายามนำเสนอว่า.. การซึ้งในรสพระธรรมถึงกับยอมสละทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น..
คำว่า.. ซึ้งในพระธรรม.. ไม่รู้แปลว่าอย่างไร..
ถ้าเป็นสมัยก่อนผู้เขียนเองคงมีความคิดว่า.. ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้นนะ มีเงินมากขนาดนั้น อยู่ได้อย่างสบาย..
ถ้ามามองกันจริงๆ สิ่งที่เราต้องการคือความสุข ไม่ใช่เงินทอง.. แต่เงินทองก็ซื้อความสุขได้นะ.. ไม่ใช่ฤา
ลองสังเกตุไหม.. ความสุขที่เกิดจากเงินทอง มันเป็นความสุขที่ต้องพึ่งปัจจัยจากภายนอกเป็นหลัก..
ไม่ใช่เศรษฐีเลยไม่แน่ใจว่าเขาเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง.. แต่ขอลองยกตัวอย่างว่า.. มีเงินมากมายสามารถกิินเหล้าดีๆ แพงๆ แต่ถ้าถามว่า ถ้าทานคนเดียวกับทานกันคนที่รู้จัก อย่างไหนจะดีกว่ากัน.. มีเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ เพื่อให้คนอื่นมาสนใจ หรือใส่แล้วไม่ให้คนอื่นเห็น อย่างไหนดีกว่ากัน..
ความสุขเหล่านี้.. มันคล้ายกับเป็นความสุขที่สมบูรณ์ ที่มนุษย์ทุกคนโหยหา.. แต่ความจริงพระพุทธเจ้า ท่านได้ค้นพบว่า.. ความสุขที่แท้จริงนั็น สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น เราก็สามารถมีความสุขได้ทุกเวลาและไม่จำกัดสถานที่..
ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ.. ก็ลองไปถามพระลูกเศรษฐีมาเลเซียดูซิ ว่าจริงไหม.. :-b
บทความนี้.. อยากบอกสั้นๆ แค่รู้สึกตัวให้เป็น มีสติที่เป็นอัตโนมัติ.. แล้วลองเปรียบเทียบความสุขที่เคยสัมผัสมาว่ามีความแตกต่างกันมากขนาดไหน..
ลองฝึกดูนะครับ.. แล้วจะรู้ว่ามันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)