เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวลูกเศรษฐีชาวมาเลเซีย มาบวชอยู่ที่เมืองไทยแล้วไม่ยอมสึก ยอมทิ้งมรดกกว่า 300 ล้านบาท..
เข้าใจว่าข่าวน่าจะพยายามนำเสนอว่า.. การซึ้งในรสพระธรรมถึงกับยอมสละทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น..
คำว่า.. ซึ้งในพระธรรม.. ไม่รู้แปลว่าอย่างไร..
ถ้าเป็นสมัยก่อนผู้เขียนเองคงมีความคิดว่า.. ทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้นนะ มีเงินมากขนาดนั้น อยู่ได้อย่างสบาย..
ถ้ามามองกันจริงๆ สิ่งที่เราต้องการคือความสุข ไม่ใช่เงินทอง.. แต่เงินทองก็ซื้อความสุขได้นะ.. ไม่ใช่ฤา
ลองสังเกตุไหม.. ความสุขที่เกิดจากเงินทอง มันเป็นความสุขที่ต้องพึ่งปัจจัยจากภายนอกเป็นหลัก..
ไม่ใช่เศรษฐีเลยไม่แน่ใจว่าเขาเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง.. แต่ขอลองยกตัวอย่างว่า.. มีเงินมากมายสามารถกิินเหล้าดีๆ แพงๆ แต่ถ้าถามว่า ถ้าทานคนเดียวกับทานกันคนที่รู้จัก อย่างไหนจะดีกว่ากัน.. มีเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ เพื่อให้คนอื่นมาสนใจ หรือใส่แล้วไม่ให้คนอื่นเห็น อย่างไหนดีกว่ากัน..
ความสุขเหล่านี้.. มันคล้ายกับเป็นความสุขที่สมบูรณ์ ที่มนุษย์ทุกคนโหยหา.. แต่ความจริงพระพุทธเจ้า ท่านได้ค้นพบว่า.. ความสุขที่แท้จริงนั็น สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น เราก็สามารถมีความสุขได้ทุกเวลาและไม่จำกัดสถานที่..
ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ.. ก็ลองไปถามพระลูกเศรษฐีมาเลเซียดูซิ ว่าจริงไหม.. :-b
บทความนี้.. อยากบอกสั้นๆ แค่รู้สึกตัวให้เป็น มีสติที่เป็นอัตโนมัติ.. แล้วลองเปรียบเทียบความสุขที่เคยสัมผัสมาว่ามีความแตกต่างกันมากขนาดไหน..
ลองฝึกดูนะครับ.. แล้วจะรู้ว่ามันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น