ผู้เขียนขออธิบายนิยามของคำว่า "หลง" แบบง่ายๆ อย่างนี้นะครับ "สิ่งที่เรากำลังทำทั้งทางกายและทางใจ แล้วที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ทำขณะนั้น ถือว่า "หลง" ทั้งหมด.. ( ขออภัยผู้อ่านที่อ่านมาถึงตอนนี้แล้วยัง งง ขอให้อ่านไปเรื่อยๆ ก่อนนะครับ)
ก่อนที่จะยกตัวอย่าง ขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำว่า "หลง" ในทางพุทธ ก่อนนะครับ ว่าช่องทางที่หลงมีทางไหนบ้าง
- หลงทางหู จากการได้ยิน
- หลงทางตา จากการเห็น
- หลงทางจมูก จากการได้กลิ่น
- หลงทางลิ้น จากการรสชาติ
- หลงทางกาย จากการสัมผัสทางกาย
- หลงทางใจ จากความคิด
สำหรับตัวอย่างนี้ ผู้เขียนขอออกตัวก่อนนะครับ เป็นการยกตัวอย่าง แบบผู้ที่เริ่มต้นใหม่จริงๆ นะครับ สำหรับท่านที่เข้าใจสภาวะของความรู้สึกแล้ว รบกวนอย่าเพิ่งตำหนิกันนะครับ.. สมมติว่า ท่านกำลังรับประทานข้าวอยู่ แล้วเกิดสภาวะในระหว่างรับประทานอาหารขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสภาวะต่อไปนี้พออนุโลมว่ายังไม่หลงเช่น รับรู้รสชาติเค็ม เห็นจานที่สวย ได้กลิ่นอาหารที่หอมมาก เคี้ยวข้าวแล้วรู้สึกว่าข้าวแข็งไปหน่อย ได้ยินเสียงดังในร้านอาหาร.. สำหรับตัวอย่างสภาวะต่อไปนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างรับประทานอาหาร ที่ผู้เขียนขอเรียกสภาวะเหล่านี้เป็นหลงทั้งหมด เช่น ท่านเห็นรถที่ผ่านหน้าร้าน มีความคิดว่าร้านนี้ไม่น่าขายได้ดีขนาดนี้เลย เพราะรสชาติไม่ได้เรื่อง มีความคิดว่่าข้าวร้านนี้คงใช้ข้าวราคาถูกแน่ๆ ข้าวถึงได้แข็งขนาดนี้ มีความคิดว่าทานข้าวเสร็จแล้ว จะไปซื้อขนมกินอีก นั่งกระดิกขา เวลารับประทานอาหาร อ่านหนังสือพิมพ์พร้อมกับรับประทานอาหาร..
จากตัวอย่าง ท่านคงพอจะเริ่มเห็นแล้วว่า.. แม้นว่าเรากำลังรับประทานอาหารอยู่ แต่เราจะพบว่าเกิดสภาวะหรือกิจกรรมอื่นมากมายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่เลย.. และถ้าสังเกตุลงไปอีกจะเห็นว่าช่องทางที่เราหลงมากที่สุดก็คือ ทางใจ หรือ "ทางความคิด" นั่นเอง
ดังนั้นเมื่อมีช่องทางหลงหลายทางอย่างนี้.. ถ้าจะต้องคอยระวังไม่ให้หลงทุกช่องทาง.. คงจะบ้าไปเสียก่อนแน่.. งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ยอมหลง ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่เราจะฝึกรู้สภาวะที่เกิดทางใจ.. โดยสำหรับผู้ที่เริ่มต้น ให้ฝึกรู้สภาวะที่เกิดขึ้นทางความคิดที่แปลกปลอมจาก กิจกรรมที่อยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นหลักก่อน เมื่อเกิดความชำนาญขึ้น ท่านจะเริ่มรู้ถึงสภาวะอื่นๆ ที่นอกเหนือความคิดได้ ซึ่งตอนนี้ผู้เขียนขอให้ท่านใจเย็นๆ ทำแบบนี้ไปก่อนเพื่อให้เข้าสภาวะ "หลง" อย่างแท้จริงขึ้นมาก่อนนะครับ
ผู้เขียนขอกลับไปที่ตัวอย่างข้างบนอีกครั้ง ท่านจะเห็นว่า ความคิดนั้นมันจะ ไปอยู่ในอดีตบ้าง ในอนาคตบ้าง อยู่กับปัจจุบันบ้างแต่ไปใส่ความเห็น ใส่คุณค่าเช่นชอบ-ไม่ชอบ ลงไปในความคิดด้วย จึงเป็นสภาวะของการ "หลง" ทางความคิดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าหลงไปคิด ก็ให้กลับมาอยู่ กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ ไม่ต้องไป โมโห ดีใจ หรือวิเคราะห์ อะไรทั้งสิ้น แค่รู้ว่าหลงก็พอ (แค่รู้ว่าหลงนะพอทำได้ แต่คำว่า "ก็พอ" นี้สิ ทำไม่ค่อยได้ ผู้เขียนไม่ขอบอกนะครับ ลองทำดูก่อน แล้วจะรู้เองว่าทำไม)
เมื่อท่านเริ่มฝึกเจริญสติ และเริ่มเข้าใจกับสภาวะหลงแล้ว ท่านจะเกิดสภาวะหนึ่งขึ้นมา ที่เรียกว่า สภาวะของการยอมรับไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงหลงบ่อยขนาดนี้ ทำไมเราถึงควบคุมมันไม่ได้ จึงเกิดความตั้งใจขึ้นมา หรือเรียกว่า "ดักดู" เพื่อจะได้เห็นว่า เมื่อมีความคิดโผล่มาเมื่อไหร่ จะรู้ทันทีว่าหลงไปคิดแล้ว จะได้ไม่หลงนาน.. ผู้เขียนขอรีบเตือนไว้ก่อนเลยนะครับ เป็นวิธีการที่ผิด เพราะนั้น เราจะมีความรู้สึกว่า จะไม่เห็นสภาวะอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนกับว่า ไม่หลงเลย หรือรู้สึกตัวตลอดเวลา.. โดยที่สภาวะมันจะนิ่งๆ เบลอๆ แน่นๆ หนักๆ หรือที่ทางพุทธเรียกว่า "เพ่ง" ซึ่งไม่ตรงกับนิยามของคำว่า "พุทธ"..
สำหรับสภาวะ " เพ่ง" ที่กล่าวถึงนั้น สำหรับคนเมือง และเป็นนักคิดแบบท่านผู้อ่านหลายๆท่าน รวมทั้งผู้เขียนด้วยแล้ว.. ขอบอกคำเดียวว่า ช่วงเริ่มต้น ไม่ต้องไปห่วงว่าจะ "เพ่ง" หรือปล่าวนะ.. เพราะธรรมชาติของจิตของคนเหล่านี้ ไม่ค่อยอยู่นิ่งอยู่แล้ว เพราะมีสิ่งกระทบมากมาย ถ้าเปรียบเสมือนก็ประเภทลิงศาลพระกาฬ มีอะไรผ่านมา กระโดดเกาะหมด มีของใหม่ก็ทิ้งของเก่า พอไม่ชอบก็ทิ้ง เป็นจิตที่หิวอยู่ตลอดเวลา.. ดังนั้นเมื่อท่านที่ฝึกมาแล้ว มีความรู้สึกว่าเพ่งหรือปล่าว ให้จัดสภาวะนี้เป็นหลงได้เลย เพราะนั้นหมายความว่า เรากำลังคิดว่าเพ่งหรือปล่าว หรือเราหลงไปกับความคิดเรียบร้อยแล้ว..
ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้ คงพอจะช่วยให้ท่าน ที่อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะเริ่มสนใจที่จะเจริญสติ กันบ้างแล้วนะครับ ซึ่งไม่แน่ใจว่า ถ้าผู้เขียนจะบอกว่า การเจริญสติ นี้เป็น การปฎิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจหรือเพิ่มความเบื่อหน่ายเข้าไปอีก หรือปล่าว แต่เจตนาของผู้เขียนสำหรับบทความนี้เพียงแค่นำเสนอว่า การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่ต้องเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิ ก่อนเสมอไป..
เมื่อท่านเริ่มฝึกเจริญสติ และเริ่มเข้าใจกับสภาวะหลงแล้ว ท่านจะเกิดสภาวะหนึ่งขึ้นมา ที่เรียกว่า สภาวะของการยอมรับไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงหลงบ่อยขนาดนี้ ทำไมเราถึงควบคุมมันไม่ได้ จึงเกิดความตั้งใจขึ้นมา หรือเรียกว่า "ดักดู" เพื่อจะได้เห็นว่า เมื่อมีความคิดโผล่มาเมื่อไหร่ จะรู้ทันทีว่าหลงไปคิดแล้ว จะได้ไม่หลงนาน.. ผู้เขียนขอรีบเตือนไว้ก่อนเลยนะครับ เป็นวิธีการที่ผิด เพราะนั้น เราจะมีความรู้สึกว่า จะไม่เห็นสภาวะอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนกับว่า ไม่หลงเลย หรือรู้สึกตัวตลอดเวลา.. โดยที่สภาวะมันจะนิ่งๆ เบลอๆ แน่นๆ หนักๆ หรือที่ทางพุทธเรียกว่า "เพ่ง" ซึ่งไม่ตรงกับนิยามของคำว่า "พุทธ"..
สำหรับสภาวะ " เพ่ง" ที่กล่าวถึงนั้น สำหรับคนเมือง และเป็นนักคิดแบบท่านผู้อ่านหลายๆท่าน รวมทั้งผู้เขียนด้วยแล้ว.. ขอบอกคำเดียวว่า ช่วงเริ่มต้น ไม่ต้องไปห่วงว่าจะ "เพ่ง" หรือปล่าวนะ.. เพราะธรรมชาติของจิตของคนเหล่านี้ ไม่ค่อยอยู่นิ่งอยู่แล้ว เพราะมีสิ่งกระทบมากมาย ถ้าเปรียบเสมือนก็ประเภทลิงศาลพระกาฬ มีอะไรผ่านมา กระโดดเกาะหมด มีของใหม่ก็ทิ้งของเก่า พอไม่ชอบก็ทิ้ง เป็นจิตที่หิวอยู่ตลอดเวลา.. ดังนั้นเมื่อท่านที่ฝึกมาแล้ว มีความรู้สึกว่าเพ่งหรือปล่าว ให้จัดสภาวะนี้เป็นหลงได้เลย เพราะนั้นหมายความว่า เรากำลังคิดว่าเพ่งหรือปล่าว หรือเราหลงไปกับความคิดเรียบร้อยแล้ว..
ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้ คงพอจะช่วยให้ท่าน ที่อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะเริ่มสนใจที่จะเจริญสติ กันบ้างแล้วนะครับ ซึ่งไม่แน่ใจว่า ถ้าผู้เขียนจะบอกว่า การเจริญสติ นี้เป็น การปฎิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจหรือเพิ่มความเบื่อหน่ายเข้าไปอีก หรือปล่าว แต่เจตนาของผู้เขียนสำหรับบทความนี้เพียงแค่นำเสนอว่า การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่ต้องเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิ ก่อนเสมอไป..
บทความต่อไป.. จะลองยกตัวอย่างวิธีเจริญสติ.. ในแบบต่างๆ ของผู้เขียนเอง.. เผื่อจะตรงกับจริตของบางท่านบ้าง แล้วเจอกันใหม่ครับ