วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีซูหาง

ช่วงนี้ คุณแม่บ้าน บ่นว่า รู้สึกเบื่อ ไปหมด (สงสัยจะเบื่อเราด้วย แหละ) เลยนึกถึง สภาวะตัวเอง มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่พอปฏิบัติธรรม แล้วมีความรู้สึกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเลย รู้สึกว่าทุกสิ่ง ทุกอย่าง น่าเบื่อไปหมด

ช่วงนั้น ต้องเดินทาง ไปดูโรงงานที่ประเทศจีน บริษัท ได้พาไปที่สวนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคำกล่าวของคนจีนว่า "บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีซูหาง" ซึ่งพอไปถึงจริงๆ ก็ดูธรรมดา ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร อาจจะเพราะยังอยู่ในช่วงที่กำลังเบื่อโลกอยู่

แต่มีจุดหนึ่ง คือนกเป็ดน้ำ ในสวนนี้ เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่อาศัยอยู่ในสวน ความคิดแรกที่เห็น นกเป็ดน้ำ เกิดกระบวนการทำงานของจิต เริ่มจากผัสสะกระทบทางตา เกิดสัญญา หมายรู้ในเรื่องราว ของคนสร้างสวนแห่งนี้ ที่รัก สวนแห่งนี้มาก เมื่อสัญญาเทียบเคียงกับผัสสะ ที่กระทบได้แล้ว สังขารเริ่มดำเนินการ ปรุงแต่งเรื่องราว ว่าเป็ดพสกนิกรชาติก่อน อาจจะเคย เป็นคนสร้างสวนนี้มาก่อน เพราะมีความผูกพันกันสวนแห่งนี้มาก เมื่อสังขารปรุงแต่งแล้ว เวทนาจะสรุปเรื่องราวนี้ว่า ชอบหรือไม่ชอบ จิตก็จะดำเนินการ เก็บเป็นข้อมูลต่อไป

ซึ่งเมื่อเราเจอผัสสะอะไร ที่เทียบเคียงกับสัญญานี้ได้อีก เรื่องราวเหล่านี้  ก็จะผุดขึ้นมาได้อีก ซึ่งถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าสัญญาเหล่านี้ เป็นการสะสมเพื่อเพิ่มความมีตัวตน ให้แน่นขึ้นไปอีก..

กลับมาเรื่องความเบื่อ ที่เกิดขึ้นช่วงนั้น ผู้เขียนเองก็พยายามดิ้นรนหาทางแก้ หรือไปปรุงแต่งว่า สงสัยเข้าใกล้เส้นทาง แล้วมั้ง วันหนึ่งเจอพี่ที่เป็นกัลยาณมิตร เลยถามสภาวะนี้ ให้ฟัง พี่เขาตอบมาคำเดียว ก็ดูมันไป เดี๋ยว มันก็หาย มันไม่เที่ยง แต่ตอนนั้น จิตมันไม่ยอมรับเท่าไหร่ เหมือนอยากได้ยิน ว่าต้องไปทำอะไรเพื่อให้มันหาย เมื่อไปเจอคำตอบ แบบนี้ เลยไม่ค่อยยอมรับ

สภาวะแห่งความเบื่อนี้ เกิดขึ้นนานเลย ถึงแม้นตอนนั้นก็ยังเจริญสติเหมือนเดิม แต่จากที่สังเกตุ สิ่งพลาดที่เกิดสภาวะนั้น แล้วไม่หายน้าจะมาจากการ ที่เราไม่ชอบ แต่ไม่เห็นจิตไม่ชอบ เพราะจิตไม่ตั้งมั่นพอ ที่จะเห็นจิตที่ละเอียดแบบนั้น.. แต่ก็ยังนับว่าโชคดี ที่รู้ว่าสภาวะของความเบื่อนี้ ไม่ใช่สภาวะแห่งการหลุดพ้น ไม่งั้นคงจะติดนานกว่านี้แน่

ตอนนี้เลยตั้งกฎ  "ไว้ตลอดว่า ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดสภาวะอะไร ตามรู้สภาวะเกิดขึ้นตอนนั้นเลย ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ กับสิ่งเคยเกิดขึ้นไปแล้ว"

ใช้ แอปในมือถือ ช่วยฝึกเจริญสติ

ปกติก่อนนอน จะเจริญสติในรูปแบบ โดยมีวิหารธรรม ด้วยการ รู้สึกไปที่การเคลื่อนไหว ของท้อง แล้วสังเกตุ จิตที่เคลื่อนออกจากความรู้สึก ที่ท้อง

ซึ่งตอนนี้ จะอยู่ในสภาวะ ที่เริ่มเห็น การผุดขึ้นของสัญญา (จำได้ หมายรู้) เมื่อเริ่มเห็นสัญญา ที่ผุดขึ้น ก็จะรู้ตัวขึ้นมาว่า จิตเคลื่อนแล้ว ซึ่งเมื่อรู้ว่าจิตเคลื่อน จะขยับนิ้ว เหมือนกับเป็นการนับจำนวน ครั้งที่เคลื่อน แต่ในความเป็นจริง แค่ขยับนิ้วเฉยๆ เพราะถ้านับนิ้วจริง คงไม่มีนิ้วพอให้นับ

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เลยมีความคิดว่า น่าจะมี แอปพลิเคชัน ที่ช่วยการนับของเราได้บ้าง จึงได้ลองหาใน  play store จึงได้แอป ชื่อ simple counter ลองมาใช้ ซึ่งใช้ได้ดีพอสมควร

สำหรับผลการนับจิตที่เคลื่อนไป ลองสัก 2 นาที จะนับได้ ประมาณ 30 ครั้ง ซึ่งดูแล้ว สติที่จะรู้สึกตัวยังช้าๆ อยู่อีกมาก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ การทดสอบ ในชีวิตประจำวัน ถึงได้สอบตกอยู่บ่อยๆ
ยังต้องฝึกอีกมากจริงๆ ฝึกต่อไปก่อนที่จะหมดลมหายใจ

ลองเรียนศาสตร์นี้ ดูบ้างก็ดีนะ

บางคนมองว่า คนที่ปฏิบัติธรรม เป็นเรื่อง ของคนมีทุกข์ หรือพวกเบื่อทางโลก   

ถ้าลองไม่มองว่า พุทธ เป็นศาสนา แต่ให้มองว่า ศาสตร์ แขนงหนึ่ง จะช่วยลดพิธีการ ลงไปได้บ้างนะ (ยิ่งอยู่ใน สภาวะที่ สถาบันสงฆ์ ในไทยเริ่มสั่นคลอน) จะได้ช่วยให้รู้สึกว่า ใครมาเรียนก็ได้ ไม่เกินเอื้อม

พุทธศาสตร์ เป็นการเรียนรู้ วิธีแห่งการพ้นทุกข์ (ไม่ใช่ ดับทุกข์)

ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่านอกจากศาสตร์นี้ มีศาสตร์ อื่นอีกไหม เนื่องด้วยตนเองเป็นชาวพุทธ เลยสรุปว่า มีศาสตร์นี้เพียง ศาสตร์เดียวแล้วกัน เพราะจากความรู้น้อยนิด "ถ้ายังมีการเกิดอยู่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทุกข์มันก็ยัง ตามไปได้อยู่ดี"

ศาสตร์จะสอนไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา  

สำหรับเรื่องศีล ทุกท่านทราบ กันดีอยู่แล้ว ทำได้หรือไม่ได้ ก็ควรต้องทำ ถ้าจะเรียนศาสตร์นี้

เรื่องสมาธิ  ทุกท่านจะมองว่า เป็นสัญลักษณ์ ของพุทธศาสตร์ ขอตอบเลยว่า ไม่ใช่ และยังยืนยันว่า ไม่ใช่ อีกครั้ง สมาธิในทางพุทธนั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเรียกว่า สมาธิแบบทำให้จิตสงบ (หรือสมาธิแบบฤษีหรือดาบส) แบบที่สอง เรียกว่า สมาธิแบบทำให้จิตตั้งมั่น ซึ่งมีในพุทธศาสตร์ เท่านั้น ขอย้ำว่าอีกครั้งว่าเท่านั้น เพราะเป็นสมาธิ ที่จะเกิด จิตที่มีคุณภาพ ที่จะนำไปใช้ในการ เรียนในขั้นของปัญญา

การเรียนเรื่องปัญญา คือการเรียนรู้ ความเป็นจริง (จริงของจริง ไม่ใช่จริงสมมติ) ของกายและใจ ด้วยจิต ที่มีคุณภาพ จนจิตเกิดปัญญาขึ้นมา เพื่อถอดถอนความเห็นผิด ว่ากายไม่ใช่ของเรา ใจไม่ใช่ของเรา หรือเรียกอีกอย่างว่า สัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นแก่นแท้ ของพุทธศาสตร์

เหตุที่ต้องให้จิต ถอดถอนความเห็นผิด ว่ากายไม่ใช่ของเรา ใจไม่ใช่ของเรา เพราะ กายกับใจ นี้แหละ คือตัวทุกข์ละ ซึ่งตอนนี้พวกเรายังเห็นว่า กายกับใจ เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตไม่เลยไม่ยอม ทิ้งกาย ทิ้งใจ นี้จริงๆ สักที

ขอแถมท้าย ที่เราเกิดมาอยู่นี้ ก็คือเป็นการพิสูจน์ ว่าเรายังไม่รู้ ดังนั้น การฉลองวันเกิดทุกปี ก็คือ วันฉลองความไม่รู้ของเรานั่นเอง น่าภูมิใจดีไหมเนี้ย