วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กิจวัตรประจำวัน กับ การเจริญสติ ตอนที่ 1

จากการที่ผู้เขียนไม่ได้มีจริตในการทำสมถะกรรมฐาน ที่จะทำให้จิตสงบได้.. การเจริญสติในชีวิตประจำวันจึงมีความจำเป็นมาก..

การเจริญสติ มีด้วยกัน 2 แบบ ซึ่่งจะต้องทำควบคู่กัน.. แบบแรกเรียกว่า "การเจริญสติในรูปแบบ" แบบที่สองเรียกว่า "การเจริญสติในชีวิตประจำวัน"

การเจริญสติในรูปแบบ.. เป็นการฝึกที่่ต้องอาศัยสถานที่พอสมควรเพื่อตัดปัจจัย ที่จะผลต่อการฝึกเจริญสติ เช่น ควรหลีกเลี่ยงพบปะผู้คน มีความเงียบพอสมควร บรรยากาศเหมาะแก่การฝึกเจริญสติ สำหรับสถานที่ของผู้เขียนเองก็ ในบ้านนั่นแหละ  เช่นในห้องนอนหลังจากที่เด็กๆ หลับกับหมดแล้ว สนามหน้าบ้านตอนเช้า ที่ยังไม่มีคนพลุกพล่านมาก

จุดประสงค์ของการฝึกเจริญสติในรูปแบบเพื่อให้จิต ได้มีกำลังที่จะได้ใช้ กับการเจริญสติในรูปแบบที่สอง อีกทั้งยังเป็นฝึกซ้อมให้จิตได้รู้ถึงสภาวะ ของการรู้สึกตัวกับความคิด(หรือหลง) ได้เด่นชัดขึ้น

วิธีการฝึกเจริญสติในรูปแบบ.. สิ่่งแรกที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องค้นหาให้ได้คือ หา" วิหารธรรม" ที่เหมาะกับตัวเอง และเกี่ยวเนื่องกับกายกับใจ..

มาเข้าใจกับคำว่า "วิหารธรรม" กันก่อน.. วิหารธรรมคือเครื่องอยู่ ของจิต หรืออารมณ์ (สิ่งที่จิตไปรู้) ที่จะเป็น ตัวกำหนดหรือขอบเขต ที่จะบอกว่าตอนนี้จิตกำลัง "หลง" หรือยัง "ไม่หลง" ซึ่งก็เหมือนกับที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง ในบทความ ที่สอนสภาวะหลงให้กับเด็กๆ

วิหารธรรม.. ที่เกี่ยวเนื่องกับการกับใจเช่น รู้สึกถึงลมหายใจ รู้สึกถึงท้องพองยุบ ท่องพุทโธ ขยับแขนเป็นจังหวะ เดินจงกรม.. ในระยะแรกลอง ทำในสิ่งตัวเองชอบก่อน.. แล้วสังเกตุดูว่า สบาย ไม่อึดอัด และทำได้นานไหม ถ้าใช่นั่นแหละคือวิหารธรรมที่น่าจะเหมาะกับเราแล้ว แต่ถ้าวิหารธรรมใดทำแล้วรู้สึกว่า อึดอัด หรือรู้สึกว่าเป็นภาระที่จะต้องทำ ผู้เขียนขอแนะนำให้เปลี่ยนนะครับ แต่อย่างไรก็ตามต้องลองสังเกตุให้ดีด้วยว่า ชอบจริง สบายจริง อึดอัดจริง หรือปล่าว เพราะบางที่ก็เจอกิเลสหลอกเหมือนกัน เช่นตอนแรกดี แต่พอสักพัก เริ่มไม่ดีอีกละ ต้องจำไว้เสมอว่า กิเลสของเรานั้น จะทำอย่างไรก็ได้ ให้เราเลิกทำ..

ถ้าท่านผู้อ่านลองย้อนกลับไปอ่าน บทความเก่าๆ ของผู้เขียน จะเห็นว่าผู้เขียนเองก็ดิ้นรนที่จะหาวิหารธรรมของตัวเองให้เจอ.. ซึ่งวิหารละธรรมของผู้เขียนจะเป็น การรู้สึกถึงท้องที่เคลื่อนไหว ไม่แน่ใจว่าเรียก ท้องพองยุบหรือปล่าว เพราะไม่ได้ไปรู้สึกถึงว่า ท้องพองหรือท้องยุบ แต่รู้สึกถึงแค่ท้องมีการเคลื่อนไหว การที่รู้สึกบริเวณนี้แล้วไม่ได้อึดอัด และสามารถกลับมารู้สึกตัวหลังจากที่หลงไปแล้วได้ง่าย กว่า วิหารธรรมแบบอื่น (แอบกระซิบหน่อยนะ.. การหาวิหารธรรมนั้น ควรคิดถึงตอนใกล้ตายด้วยว่า ว่าเรากำลังจะตาย เราสามารถใช้วิหารธรรม ที่เราฝึกได้หรือปล่าว)

วิธีการต่อไปนี้เป็นวิธีการที่ผู้เขียนทำอยู่ทุกวันนะครับ.. เวลาที่จะเจริญสติในรูปแบบ สิ่งแรกที่ควรทำคือ สวดมนต์ แล้วตั้งใจว่าเราจะฝึก ประมาณ 10-15 นาที (บางท่านอาจจะทักว่า น้อยไปหรือปล่าว.. ผู้เขียนยอมรับว่าน้อยไปแต่ ผู้เขียนได้ตกลงกับตัวเองแล้วว่า ถึงจะน้อยแต่ทำทุกวัน ไม่ว่าจะขี้เกียจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องทำทุกวัน เพื่อที่จะได้ไม่ยอมแพ้กิเลส ที่จะพยายามอ้างเหตุผล ให้เราเลิกฝึกนั่นเอง)

โดยที่ช่วงสวดมนต์ ก็เริ่มฝึกเจริญสติแล้ว เพราะใช้บทสวดมนต์ เป็นวิหารธรรม พอสวดมนต์เสร็จ ก็จะนั่งสมาธิ ที่เราคิดว่าสบายที่สุด นั่งรู้สึกถึงท้องที่เคลื่อนไหว แล้วพอสักพัก จิตจะเริ่มหลงไปคิดเรื่องงาน เรื่องในอดีต เรื่องที่เราไม่สบายใจ เรื่องต่างๆ มากมาย ซึ่งหน้าที่เราก็คอยรู้ตาม ว่าจิตหลงออกจาก ความรู้สึกที่ท้อง เมื่อแค่รู้ว่าจิตหลงออกไปแล้ว จิตก็จะมารู้สึกอยู่ที่ท้องเหมือนเดิม ทำไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มสงบบ้าง แต่ต้องสังเกตุเหมือนกัน ว่าจิตรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของท้องหรือปล่าว เพราะส่วนใหญ่จิตจะเคลื่อนออกมานิดหนึ่ง แล้วจะสร้างความรู้สึกว่าท้องเคลื่อนไหวอยู่ แล้วจิตจะรู้สึกสบาย แล้วเราจะเริ่มเคลิ้ม ซึ่งบางทีเราหลับไปเลยก็มี ซึ่งการรู้สึกตัวจริงนั้น จิตจะสดชื่น ไม่ซึมๆ ทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนขาจะเริ่มชา และปวดขึ้นเรื่อยๆ ก็จะฝึกไปอีกสักพักหนึ่งก็จะพอ สำหรับการเจริญสติในรูปแบบสำหรับวันนั้น..

ขอต่อการเจริญสติแบบที่สองในบทความหน้านะครับ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น