วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อลูก.. สอนธรรมะ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว.. ลูกชาย (อายุประมาณ 6 ขวบครึ่ง).. ไม่รู้งอนแม่เรื่องอะไร.. เลยพูดกับแม่ว่า.. จะไปนอนกับพี่เลี้ยง.. แม่เลยตอบไปว่า.. ไปนอนเลย.. แม่จะได้นอนสบายไม่ต้องมีใครมาเบียด.. ลูกชายเลยตอบว่า "... รู้นะว่า แม่สบายกาย.. แต่ใจของแม่จะไม่มีความสุข.. ที่แม่ต้องนอนคนเดียว"

อีกเหตุการณ์หนึ่ง นานมากแล้วจำไม่ได้ แต่น่าจะหลายเดือนแล้ว.. รู้สึกว่าจะขับรถไปส่งที่โรงเรียน.. อยู่ดีๆ ลูกชายก็ถามขึ้นมาว่า "เมื่อไหร่พ่อจะทิ้งขันธ์" ได้ยินทีแรกงงมากเลย เลยย้ำไปอีกทีว่า.. ลูกชายก็พูดคำเดิม.. เราก็เลยถามลูกว่าทำไมถึงถามอย่างนั้น ลูกชายตอบว่า "พ่อจะได้ไม่มีทุกข์"

จาก 2 เหตุการณ์เราไม่นึกว่าแค่.. การฟังซีดีธรรมะ ในเวลาที่อยู่รถ ตอนกลับบ้านหรือไปโรงเรียน ใช้เวลารวมกันไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง.. ลูกสามารถเข้าใจธรรมะได้ถึงขนาดนี้.. โดยเฉพาะเข้าใจว่า.. กาย-ใจ เป็นละส่วนกัน.. ตัวเราเองเพิ่งเข้าใจเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง..

เด็กๆ .. ถ้าเริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว.. ผู้ใหญ่คงสู้ไม่ไหวแน่ๆ :-)

เมื่อโดน.. กิเลสหลอก

กิจวัตรประจำวัน จะสวดมนต์ไหว้พระทุกคืน.. และจะนั่งสมาธิด้วยการ.. ยกแขน แบบหลวงพ่อเทียนเพื่อ ลดความฟุ้งซ่านและ ความง่วง.. หลังจากนั้น..

จะเริ่มดูท้องพองยุบ แบบภาพรวม.. ซึ่งจะเป็นกรรมฐานที่จะสบายที่สุด.. ความสบายนี่แหละ.. ทำให้อยากทำบ่อยๆ.. แต่.. เมื่อ 2-3 วันมานี้.. เริ่มสังเกตเห็นว่า..

ทำไหมรู้สึกสบายจังเลย.. เพราะปกติเวลาดูจิตที่แอบไปคิด.. ก็เหนื่อยแล้ว.. เลยลองสังเกต.. จิตของตัวเอง.. พบว่าเวลาดูท้องพองยุบ.. ทำไมท้องพองยุบ.. มันพองยุบได้คงที่ตลอดเวลา.. เมื่อสังเกตลงไปอีก.. เริ่มเห็นว่านั่นมันไม่ใช่
ท้องพองยุบ.. แต่เป็นภาพท้องพองยุบ ที่จิตสร้างขึ้นมา.. นั่นแหละถึงบางอ้อเลยว่า..

ทำไหมมันถึงได้สบายจริงๆ เวลานั่งสมาธิ..

กิเลสนี้มันน่ากลัวจริงๆ :-8

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เข้ารกเข้าพง

ความรู้สึกช่วงนี้.. การปฏิบัติธรรม.. ดูไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเลย..

เหมือนมีความรู้สึกว่า.. เข้ารกเข้าพง อย่างไรก็ไม่รู้..

เหมือนกับคนปฏิบัติธรรมไม่เป็น เสียอย่างนั้น..

สำหรับการปฏิบัติในรูปแบบ.. ทำเป็นกิจวัตรทุกวัน.. แต่..

ยังดูไม่ค่อยคืบหน้า..

คงต้องพยายามต่อไป.. ตอนนี้เลย.. หันมาอ่านหนังสือให้มากขึ้น.. เพื่อลดความตั้งใจลงหน่อย..

คิดเอาเองว่าอาจจะ.. เคร่งเครียดกับการปฏิบัติมาไปก็ได้.. :-)

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดูกายดูใจ.. กับเห็นความผิดปกติของร่างกาย


ในการฝีกมีสติในชีวิตประจำวัน..

เวลาที่เดิน.. จะใช้วิหารธรรมในการเดินเป็น ที่อยู่ของจิต.. เมื่อจิตแอบไปคิดก็จะรู้ว่าหลงไป..

แต่.. สิ่งหนึ่่งที่เพิ่งสังเกตุ.. ในเวลาที่เดิน.. มีความรู้สึกว่า.. ขาซ้ายจะงอเข่าเพียงนิดเดียว.. เท้าซ้ายก็จะกระทบพื้นแล้ว..

เพราะขาซ้ายสั้นกว่าขาขวาหรือปล่าวนะ?.. หรือว่า..เวลาเดิน.. จะลากเท้าซ้าย แทนการยกเท้าหรือปล่าวนะ..

มีใครเคยสังเกตุเวลาเดินของตัวเองบ้างหรือปล่าว :-)

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รู้สึกตัว.. กับการฝัน


ช่วงนี้.. การนอนหลับรู้สึกเปลี่ยนไป..

ก่อนนอนจะทำสมาธิสัก 5-10 นาทีแล้ว พอนอนจะไม่หลับตา โดยจะมองดูเพดานแล้วค่อยรู้สึกตัว ตามการเคลื่อนไหวของท้องพอง-ยุบ.. แป๊ปเดียวจะวูบหลับทันที..

แต่สิ่งที่เกิดหลังจากนั้น.. ทุกครั้งที่เริ่มฝันจะ.. รู้สึกตัว.. แล้วในฝันจะมาดูลมหายใจหรือท้องพองยุบทันที..
พอสักพัก.. ก็จะเริ่มฝันอีก.. และก็จะรู้ตัวอีกสลับ.. กันอย่างนี้ทั้งคืน..

แต่ก่อนจะรู้สึกตัวว่าฝันก็เฉพาะตอนฝันร้ายเท่านั้น.. แต่ตอนนี้.. แค่เริ่มฝัน.. พี่ทั่นก็รู้สึกตัวเสียแล้ว..

เอาฝันดีๆ..
ของฉันกลับคืนมา







วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รู้สึกตรง.. กับรู้สึกสมมติ

เมื่อวันจันทร์ที่ 8 พ.ย. 53 ได้ฟังซีดีของพระอาจารย์อำนาจ โอภาโส เกี่ยวกับการรู้สึกตัว..

มีช่วงหนึ่งท่านอธิบายเรื่อง รู้สึกตรง.. กับรู้สึกสมมติ ฟังแล้วจึงเข้าใจความหมายที่ ครูบาอาจารย์ ท่านพูดเสมอว่า รู้แล้วให้ใจเป็นกลาง.. รู้แล้วให้จบลงที่รู้.. รู้ซื่อๆ

งงไหมว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน..

มาเข้าใจกับคำว่าสมมติกันก่อน.. สมมติ คือมุติร่วมกัน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ หรือหมายรู้ร่วมกันเป็นเครื่องมือสื่อสาร พอให้สำเร็จประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น คน สัตว์ คนดี คนชั่ว โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ เป็นต้น ซึ่งแต่ละชุมชนก็มี มุติร่วมที่ต่างกันไป เช่น มนุษย์-ภาษาไทย Human(ฮิว'เมิน)-ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

แล้วความหมายคำว่า รู้สึกตรงคืออะไร.. บอกไม่ได้.. ถ้าบอกก็จะเป็นความรู้สึกสมมติทันที (เห็นอะไรหรือยัง).. มันเป็นความรู้สึกที่จะรู้ได้เฉพาะตน..

เมื่อเรารับรู้(วิญญานขันธ์)สิ่งนั้นแล้ว.. จะประมวลเปรียบเทียบกับความจำที่เรามีอยู่ (สัญญาขันธ์) เพื่อบอกความรู้สึกว่าสิ่งนั้นคืออะไร.. ความรู้สึกตรงจะจบลงที่วิญญานขันธ์ ส่วนหลังจากนั้นเป็น รู้สึกสมมติ ทั้งหมด..

ตัวอย่าง.. ท่านเคยโดนมีดบาดหรือปล่าว.. เคยลองสังเกตุไหม ว่าเมื่อมีดบาดเรา รู้สึกเจ็บทันทีหรือมีหน่วงเวลาแล้วค่อยรู้สึกเจ็บ หรือเห็นเลือดแล้วค่อยรู้สึกเจ็บ ก่อนที่จะรู้สึกเจ็บนั้นแหละเรียกว่า รู้สึกตรง..

เมื่อรู้แล้วทำอะไร.. ก็ไม่ต้องทำอะไร.. ไม่ต้องห้ามมัน.. ไม่ต้องสงสัย.. ไม่ต้องค้นหา.. รู้ซื่อๆเป็นพอแล้ว..

เพราะเมื่อไหร่ที่เข้าไปจัดการ.. จะเป็นความรู้สึกสมมติทันที

เมื่อจิตเห็น ความรู้สึกตรงที่ไม่เจือด้วย ความรู้สึกสมมติ เมื่อจิตเห็นอย่างนี้บ่อยๆ เข้า จิตจะเห็นความจริงที่ว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เราอีกต่อไป.. แต่ต้องใช้เวลานะ (ลอกเขามาอีกทีนะครับ.. เพราะตัวเองยังไปไม่ถึงไหนเลย..)

หมายเหตุ
: ได้ยินคำว่า "ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี".. แต่ไม่เคยได้ยินคำว่า "เป็นมติของชุมชนไหน".. เพราะคนดีในหมู่โจร.. คนดีในหมู่นักการเมือง.. คนดีในหมู่สงฆ์.. คนดีใน..
น่าจะไม่เหมือนกันจริงไหม

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อะไร.. ก็"นะโม ตัสสะ"


หนึ่งอาทิตย์เต็ม ที่ลองบริกรรม "นะโม ตัสสะ" (บริกรรมในใจนะครับ) รู้สึกว่าจิตใจสงบดีเหมือนกัน.. แต่อารมณ์ค่อนข้างจะรุนแรงเวลามีผัสสะมากระทบ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เพราะเราไม่ได้กดข่มอารมณ์ไว้เหมือนเดิม บางทีก็ออกทางร่างกาย บางทีก็รู้ทันก่อน..

สติที่ตามรู้.. ยังค่อนข้างห่างประมาณ 2 จังหวะ ยังไม่ตามแบบติดๆ เท่าไหร่.. ตอนนี้เลยตั้งใจว่าจะบริกรรมภาวนา "นะโม ตัสสะ" ทุกขณะ ยกเว้นเวลาทำงานและพูดคุยกับผู้คน..

จากผลที่ทำถึงนะวันนี้จะมีสติอยู่กับตัวค่อนข้างนานขึ้น.. พอหลงก็จะบริกรรมในใจทันที.. รู้สึกสนุกเหมือนกัน

จากชื่อเรื่อง อะไร.. ก็"นะโม ตัสสะ".. คือทำทุกเวลาที่ว่างๆ จากทำงานและพูดคุยกับผู้คน.. แล้วจะพบเลยว่าเวลาที่ภาวนานั้นมันเยอะจริงๆ.. เพียงแต่เราเอาเวลาที่ว่างๆ เหล่านั้นไปอยู่กับความคิดที่หาสาระกับตัวเองไม่ได้เลย..

.. รู้ไหมว่าแม้นแต่ทำธุระในห้องน้ำ.. เรายังหลงในความคิดได้มากมายเลยละ.. ลองดูซิ

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เลือกอะไรเป็น วิหารธรรมดี?

วิหารธรรม คือ.. ที่อยู่ของจิต เมื่อจิตหลงไป จากที่อยู่ของจิตก็สามารถรู้ได้ ซึ่งถ้าไม่มีที่อยู่ของจิต เวลาจิตหลงก็จะไม่มีที่อ้างอิงว่าจิตหลงไปหรือไม่..

จากที่เริ่มจนถึงตอนนี้.. ยังหาวิหารธรรมที่เหมาะกับตัวเองไม่เจอเลย..

เริ่มแรก เอามือสองข้างมาประสานกัน แล้วสลับหัวนิ้วโป้งทั้งสองให้อยู่ข้างล่างกับข้างบนไปมา รู้สึกทำให้จิตสงบได้ดีเลยละ แต่พอนานๆ เข้า เริ่มแยกไม่ค่อยออกมา เพ่งหรือปล่าวเพราะจิตมันนิ่งแต่ก็คอยรู้ไป.. ทำให้ออกแนวกังวลว่าเพ่งหรือปล่าว.. แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะคือบางเวลา ไม่สามารถเอามือสองข้างมาประสานกันได้ เช่นถือของอยู่.. วิหารธรรมตัวนี้เลยถูกเปลี่ยนไป..เป็น

มาดูการเคลื่อนไหวของท้องพอง-ยุบ แล้วให้ใจเป็นคนดู.. ตอนแรกมีความรู้สึกว่าดูง่าย.. แต่ออกแนวเพ่งและกังวลว่าจะเพ่งหรือปล่าวตลอด.. ทำให้จิตจะคอยฟุ้งหรือนิ่งแบบเพ่งบ่อย.. แต่วิหารธรรมแบบนี้ ทำให้มีสติในชีวิตประจำวันได้ค่อยข้างบ่อย.. แต่ไม่ค่อยเหมาะกับตอนนั่งสมาธิ เพราะจิตไม่ค่อยสงบเอาเสียเลย..

ตอนนั่งสมาธิ.. จึงได้มาลองทำการเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน รู้สึกว่าจิตจะสงบได้เร็ว.. และรู้สึกตัวได้เร็วเวลาที่.. จิตมันหลงไป.. แต่ (มีแต่อีกแหละ) แยกความรู้สึกไม่ค่อยออก ว่าจิตกับกาย อยู่คนละส่วนเหมือนแบบดูการเคลื่อนไหวของท้องพอง-ยุบ.. ดังนั้นตอนนั่งสมาธิ.. จึงเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน พอรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบแล้ว ก็จะเปลี่ยนมาดูที่การเคลื่อนไหวของท้องพอง-ยุบต่อ เพื่อให้จิตมันเรียนรู้ว่า กายกับจิต มันแยกกัน..

แต่ (ขอแต่อีกครั้ง) เมื่อ สอง-สามวันมานี้ได้ไปฟังเทศนาของหลวงพ่อพุธ (ที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านกล่าวถึงบ่อยๆ) ท่านพูดถึงการบริกรรม พุท-โธ..

สำหรับวิธีการบริกรรมภาวนาแบบพุท-โธ นี้เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ จะถูกสอนมาร่วมกับ ลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งแค่พุท-โธ คำแรกก็รู้แล้วว่า จิตจะไปเกาะที่ลมหายใจหรือท้องพอง-ยุบทันที่ แล้วอาการของลมหายใจ หรือท้องพอง-ยุบ จะมีจังหวะที่ผิดปกติไป ดูรู้สึกอึดอัดไปหมด.. ดังนั้นวิหารธรรมแบบนี้ไม่อยู่ในความคิดเลย..

แต่ (ว่าแล้วเชียว ต้องมีแต่จนได้) หลวงพ่อพุธท่านได้พูดเกี่ยวกับการบริกรรมภาวนาแบบพุท-โธว่า.. ไม่ต้องสนในว่าจะเป็นอย่างไร ให้บริกรรมจนคำว่าพุท-โธ ไปแนบกับจิตเป็นตัวเดียวกันให้ได้.. เมื่อคืนนี้หลังจากทำสมาธิรู้แบบเดิมเสร็จ.. แล้วเตรียมตัวนอนก็เลยลองพยายามบริกรรม พุท-โธ ซึ่งก็เหมือนเดิม.. จิตจะสลับมาจับที่ลมหายใจบ้าง.. จิตมาจับที่ท้องพองยุบบ้าง.. (เห็นอะไรไหม?) ถ้าทำอย่างนี้สงสัยไม่ได้ผลเหมือนเดิมแน่.. เลยลองบริกรรม พุท-โธ ให้เร็วๆ จนหายใจไม่ทันหรือท้องพองยุบไม่ทัน แล้วก็ทำได้จริงๆ ด้วย.. เห็นเลยว่า จิตกับกายเป็นคนละส่วนจริงๆ แล้วชัดมากแบบไม่ต้องช่วยคิดเลย.. แต่วิธีบริกรรม พุท-โธ ให้เร็วๆ นี้ก็ทำได้แป๊ปเดียว จิตก็มาจับที่ลมหายใจหรือที่ท้องเหมือนเดิม แต่สิ่งได้อย่างหนึ่งคือ การเห็นจิตมาจับที่ลมหายใจหรือจิตมาจับที่ท้องพองยุบ เป็นการเห็นจากสภาวะที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้คิดเอาว่าจิตไปจับตรงโน้นตรงนี้.. สำหรับสภาวะครั้งนี้เราไม่ชอบที่จะให้จิตไปจับอยู่กับกาย..

เช้ามาระหว่างขับรถกับแฟนก็เลยลองบอกให้แฟนบริกรรม พุท-โธ แล้วลองสังเกตุว่าจิตไปจับตรงไหน.. แฟนบอกว่า.. จิตจับอยู่ที่ลมหายใจ.. เราก็เลยเริ่มคิดว่าทำอย่างไรดี.. ตอนนั้น ซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านให้การบ้านกับลูกศิษย์ ของท่านด้วยการ บริกรรมสวดมนต์..

เราก็เลยนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นบริกรรม พุท-โธ เท่านั้นนี้.. เลยนึกคำสวดที่เกิน 2 พยางค์ เพื่อให้ไม่ไปผูกการเคลื่อนไหวของ ลมหายใจกับท้องพอง-ยุบ เลยลองหาคำเช่น อิติปิโส แต่ดูแล้วยาวเหลือเกิน คงจะเบื่อเสียก่อนที่จิตจะสงบแน่ หาอยู่หลายคำ เลยมาสรุปที่ "นะโม ตัสสะ" พอลอง บริกรรมครั้งแรก..

จะเห็นเลยว่า.. จิตไม่มีที่อยู่.. จิตจะขลุกขลิกเหมือนพยายามหาที่อยู่.. เริ่มสนุกแล้วซิ.. เดี๋ยวขอไปลองของใหม่ก่อนนะครับ.. ได้ผลอย่างไรจะมาบอก..

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

สารจากลูกศิษย์.. ที่กล่าวถึงอาจารย์.. ด้วยใจจริง

มีคนถามผมว่า.. เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ เหรอ.. ผมตอบว่า "ใช่ครับ"..
เคยพบท่านด้วยเหรอ.. ผมตอบว่า "ไม่เคยครับ".. อ่านแต่หนังสือกับฟังแต่เสียงเทศนาของท่านใน ซีดีเท่านั้น..

อย่างนี้.. เขาเรียกว่าลูกศิษย์.. กับอาจารย์กันด้วยเหรอ.. สำหรับคนอื่นผมไม่รู้.. แต่สำหรับผมท่านเป็นอาจารย์ของผมแน่นอน..

ท่านมีดีอะไรฤา?.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.. แต่ข้อความข้างล่างนี้เป็นคำพูด.. ที่ผมรู้สึกอย่างไรถึงพูดได้เต็มปากเต็มใจว่า ท่านเป็นอาจารย์ของผม..

ตั้งแต่จำความได้ ผมผูกพันอยู่กับวัดและศาสนาพุทธเสมอ ไม่ว่าจะเคยเป็นลูกศิษย์วัด.. ทานข้าววัดตอนพักกลางวัน(เกี่ยวกันไหมเนี้ย).. บวชเณร.. บวชพระ.. ทำบุญตักบ้านทุกเช้า (ตอนอยู่ต่างจังหวัดนะ)..

ศีลห้า อริยสัจยสี่ อนิจจา ทุกขัง อนัตตา.. ได้ยินคำเหล่านี้ มาบ่อยมาก.. แต่ก็สงสัยว่า.. ถ้าเราจำคำสอนของพระพุทธเจ้าหมด คงจะพบนิพพานมั้ง.. แต่ก็สงสัยว่า.. ถ้าคนอ่านหนังสือไม่ออก ก็ไม่มีสิทธิ์เห็นนิพพานนะสิ.. แล้วคนศาสนาอื่นเขาก็ไม่มีโอกาสนะสิ..

เคยคิดว่า.. เราเกิดมาทำไม.. แล้วทำไมต้องเกิดมาด้วย และเคยได้ยินคำตอบมาว่า "เกิดมาเพื่อเดินทาง เพื่อให้พ้นทุกข์" ฟังแล้วก็เข้าในนะว่า "ทุกคนก็ต้องการพ้นทุกข์" แต่วิธีที่จะพ้นทุกข์ ทำกันอย่างไรนะ.. ต้องบวชเป็นพระ หรือผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องเดินช้าๆ ท่าทางสงบตลอดเวลา..

หลังจาก ได้บวชพระตามประเพณี และได้เข้าไปอยู่วัด.. และเห็นข้อวัตรของพระในวัด แล้วรู้สึกเลยว่า.. ไม่เห็นมีอะไรที่แตกต่างจาก.. ชีวิตนอกวัดเลย.. ซึ่งพอสึกออกมา ความรู้สึกต่อการทำบุญกับพระสงฆ์ ได้เปลี่ยนไปมาก.. ส่วนมากจะทำบุญกับสาธารณะประโยชน์เป็นส่วนใหญ่..

ในใจยังคิดอยู่เสมอว่า "ทำไมถึงต้องเกิดมา เรามีภาระกิจอะไรบ้างอย่างหรือปล่าวที่จะต้องทำ" คิดเรื่องนี้อยู่เสมอ.. และยังไม่รู้ว่าจะหาคำตอบอย่างไร.. แต่ใจหนึ่งก็คิดนะว่า.. น่าจะมีอะไรให้เราได้คำตอบนี้บ้าง..

เมื่อ กลาง ปี 2552 ได้ยินน้องๆ ที่ทำงาน คุยกันว่าไปลงทะเบียน ฟังหลวงพ่อปราโมทย์มาเทศนาที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขนาดไปลงทะเบียนใน Internet ตั้งแต่เปิดรับลงทะเบียน ยังได้ลำดับที่ 700 กว่า.. เราได้ยินอย่างนั้น.. รู้สึกเลยว่า อะไรจะเวอร์ขนาดนั้น..

หลังจากนั้นก็ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อปราโมทย์นี้เรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากก็จาก พี่ชายที่สนใจปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว จะเล่าให้ฟังเป็นประจำ และยังได้ หนังสือและ ซีดี มาหลายเล่ม.. แต่ไม่เคยฟังและไม่หยิบมาอ่านเลย.. เพราะความรู้สึกตอนบวชเป็นพระยังฝังใจอยู่มาก..

ประมาณปลายปี 2552 ที่ทำงานมีสัมมนาฯ เป็นเรื่อง การปฏิบัติธรรม กับชีวิตการทำงาน ซึ่งพี่ที่ทำงานเป็นวิทยากร ซึ่งมีคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ ที่ว่า "เวลาคิดไม่รู้ แต่เวลารู้ไม่คิด" ซึ่งเมื่อกลับมาที่บ้านก็ลองสังเกตุตัวเองดู ก็จริงอย่างพูด คือเวลาเราคิดเราจะไม่รู้สึกตัว แต่เราเราไม่คิดเราจะรู้สึกตัว.. ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เริ่มหันกลับมาสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครับ..

ประมาณต้นปี 2553 เพื่อนในห้องทำงานซึ่งเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อปราโมทย์ ได้เอาหนังสือ และ ซีดีมาให้คล้ายๆ กับของพี่ชาย.. แต่ก็ไม่ฟังและไม่หยิบมาอ่านเหมือนเดิม.. แต่ก็ฟังเพื่อนแล้ว ลองคิดดู.. และมีคำถามๆเพื่อน.. เช่นว่า การดูอริยบถทุกขณะ แล้วจะดูอย่างไรละ จะไม่เป็นคนไม่สติ รู้เนื้อรู้ตัวไปเลยหรือเพราะมัวแต่ดูสภาวะตัวเอง (แค่คำถามก็โง่แล้ว :-p) เพื่อนก็อธิบายให้ฟัง แต่เราก็ไม่เข้าใจ (ออกแนว.. พวกน้ำเต็มแก้ว)

ช่วงเดือนมีนาคม ปี2553 ไปปฏิบัติงานที่ จ.ระยอง ช่วงเย็นได้ไปทานอาหารร่วมกับ พี่ที่ทำงานด้วย.. ซึ่งพี่เขาสนใจปฏิบัติธรรมมานานมากแล้ว.. จำได้ว่าได้ถามพี่เขาเรื่องว่า ที่มีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีหลายองค์ เป็นของนิกายมหายานใช่หรือปล่าว.. พี่เขาได้อธิบายเกี่ยวกับศาสนาพุทธ.. ได้เป็นลำดับขั้นตอน.. จนเรามีความรู้สึกเลยว่า.. เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลยจริงๆ..

หลังจากกลับมาจากระยอง.. มีความตั้งใจว่า.. จะลองศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าใหม่อีกครั้ง.. เลยกลับมาคุยกับเพื่อนว่า.. พอมีอะไรแนะนำบ้าง เพื่อนเลยบอกให้ลองไปอ่านหนังสือของ อาจารย์สุรวัฒน์ (ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อปราโมทย์เหมือนกัน) เพราะจะอ่านง่าย..

เลยเข้าไปอ่านหนังสือของ อ.สุรวัฒน์ ใน Web www.wimutti.net .. เจอคำถามแรก ในบทนำ.. พระพุทธศาสนาสอนอะไร.. แต่เมื่อถูกถามกลับตอบไม่ได้.. เพราะมันความเข้าใจทางความคิด.. ไม่ใช่เข้าใจทางปัญญาที่รู้แจ้ง.. (ตอนนี้เหมือนน้ำในแก้ว.. ถูกเททิ้งไปเกือบหมดแล้ว.. อยากรับน้ำใหม่บ้าง)

หลังจากอ่านจบ.. รู้สึกประทับใจมาก.. เลยเอามาโพสต์ ในบล๊อกของตัวเองเสียเลย.. สิ่งที่ทำต่อมาคือ.. กลับไปค้นแผ่นซีดี ที่เก็บไว่้.. แล้วนำมาเปิดในรถที่ เปิดได้เฉพาะ Audio CD จึงเลือกแผ่นที่ชื่อว่า.. วิธีปฏิบัติธรรม.. เทศนาโดยหลวงพ่อปราโมทย์

.. จำได้ว่าฟังอยู่ประมาณ 3 - 4 รอบ (ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่) แต่อยากฟังแผ่นอื่นบ้าง เลยจัดการหาใน Internet แล้วโหลด เป็น MP3 เอามาเก็บไว้ในมือถือ เริ่มฟังอย่างสนุก.. ทำไมถึงเรียกว่าสนุก..

เพราะถ้าลองสังเกต.. ท่านจะเทศนาเรื่องซ้ำๆ.. แต่ทำไมเรายังฟัง.. เพราะเมื่อเราลองทำตามที่ท่านสอน.. แล้วกลับมาฟัง.. เราจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ท่านเทศนา.. ทีละประโยค.. ซึ่งประโยคเหล่านั้น เราก็ได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว.. แต่เพิ่งเข้าใจความหมายเมื่อ จิตมันมีปัญญาที่จะรู้.. ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ (ภูมิใจให้รู้ว่าภูมิใจ อิอิ)

ผลของการเปลี่ยนแปลงต่อตัวเองนั้น.. ไม่ขอบอกนะครับ.. แต่กระซิบนิดหนึ่งก็ได้ว่า "เพิ่งรู้ว่าตัวเองนี้.. เป็นคนเลวสุดๆ เลยละ"

นับจาก เดือนเมษายน 2553 จนถึงนะวันนี้.. ลูกศิษย์คนนี้.. ได้เริ่มเห็นธรรมะอันประเสริญที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้และสั่งสอนมนุษย์ มาไม่น้อยกว่า 2500 ปี.. โดยการถ่ายทอดของ หลวงพ่อปราโมทย์

ลูกศิษย์คนนี้.. ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ได้สั่งสอนลูกศิษย์คนนี้.. ให้รู้ว่าภาระกิจของเราคืออะไร..

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

นั่งสมาธิ.. กับอาการแปลกๆ

เมื่อคืนที่ 14 กันยายน 2553 ช่วง 21.00น. ได้นั่งสมาธิโดยการ ดูร่างกายพองยุบ ให้ใจเป็นผู้ดู เมื่อจิตไหลไปก็ตามรู้ ทำอย่างนี้สักพักหนึ่ง..

แล้วมีความจิตก็เริ่มรวม แล้วรู้สึกว่ามือที่ทับกันอยู่ หนักมากๆ.. ตอนนั้นเลยคิดว่าเพ่ง..
สักพัก เริ่มรู้สึกว่าตัวเริ่มหายไป แล้วมีไออุ่นไหลผ่านตลอดเวลา..

แต่ก็เห็นอาการนี้ตลอดเวลา แล้วคิดว่าเป็นปิติ.. แต่ตอนนี้จิด มันสั่นมาก ความกลัวเริ่มเข้ามาแทน กลัวขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็อยากเลิก แต่ใจหนึ่งก็อยากดูต่อ สักพักปากเริ่มสั่นจะร้องไห้ อยากตะโกนเรียกแฟนมาช่วย แล้วอยู่ดีๆ แฟนก็ลุกขึ้นมา..

เลยหยุด.. นั่งสมาธิ.. แล้วถามแฟนว่าลุกขึ้นมาทำไม.. แฟนบอกว่านอนไม่หลับ.. เลยเล่าอาการที่เกิดให้แฟนฟัง.. ตอนเราตัวร้อนรุ่มๆ ใจสั่นๆ.. เป็นอาการที่แปลกมาก ตั้งแต่นั่งมาไม่เคยมีอาการแบบนี้เลย..

เช้ามาขับรถเปิด ซีดี หลวงพ่อปราโมทย์ฟัง ท่านพูดเรื่องสู้ตาย.. ถ้าภาวนาเมื่อหมดภูมิปัญญาแล้ว มันจะมีสงครามข้ามภพข้ามชาติ.. ซึ่งจะมีทางเลือกเราสองทางคือ.. ไม่บ้า.. ก็ตาย เท่านั้นถึงจะข้ามได้..

.. ทำให้ถึงที่สุด.. ก่อนนี้รอยเท้าของผู้เดินทางตามรอยพระพุทธเจ้า จะจางหายไป..

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ครั้งแรกกับการรู้สภาวะ ว่ากายไม่ใช่ของเรา

ช่วงเวลาประมาณ 2ทุ่มกว่าๆ ของทุกวัน จะเป็นช่วงที่พาเด็กๆ สวดมนต์ ซึ่งปกติช่วงนี้ จะใช้การสังเกตุร่างกายเป็นหลัก เพราะเด็กจะเสียงดัง ดูจิตไม่ไหว

การดูกายก็จะดูว่าปากกำลังขยับขึ้นลง เวลากำลังสวดมนต์ ร่างกายเคลื่อนไหวเวลา ก้มลงกราบ ถ้าใจหลงไปคิดก็คอยรู้ไป รู้บ้างไม่รู้แล้วกำลังที่จะทำได้

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2553 เวลาประมาณ 20.20น. ขณะที่เตรียมตัวจะ นั่งคุกเข่า ก็เห็นวัตถุเคลื่อนผ่านตาไป รู้สึกตกใจ พอหายตกใจเลย คิดได้ว่า เป็นช่วงที่แขนซ้ายของเรา เคลื่อนมายันตัวเพื่อให้ นั่งตัวตรงนั่นเอง สิ่งที่เห็นเป็นวัตถุที่เราไม่รู้จัก และไม่ใช่ของเราแน่ แต่บอกไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างไร เพราะมันเร็วมาก

เราคิดในใจว่านี่คงเป็น สภาวะที่หลวงพ่อปราโมชย์ ท่านพูดอยู่เสมอว่าเมื่อ จิตมันรู้สึกตัวได้เองอัตโนมัติ จะเห็นว่ากายไม่ใช้เรา จะเห็นเป็นแค่ก้อนธาตุ ที่เรามาอาศัยอยู่เท่านั้น

เลยต้องรีบมาบันทึกเก็บไว้ก่อน เพราะตอนนี้ยังจำสภาวะนั้นได้อยู่... หวังว่าเราคงพอเริ่มเห็นรอยเท้า ของผู้คนที่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า บ้างแล้ว... (ให้กำลังตัวเองบ้างนะ)

... แต่ก็จะไม่เร่งรีบจน การปฏิบัติผิดเพี้ยนไป...

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

กิเลส.. กับการรู้สติ



เจอการ์ตูนใน Facebook รู้สึกดีก็เลย และขอเขียนเพิ่มเติม จากความเข้าใจของตัวเอง ณ เวลานี้ อาจจะผิดก็ได้นะ เป็นความเข้าใจส่วนตัว หลังจากเริ่มสนใจการเจริญสติ มาได้ประมาณ 4 เดือน

"กิเลสคนเรา สามารถสะสมได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน การที่เราได้ยินธรรมะจากพระผู้รู้ทั้งหลาย ไม่ได้ทำให้กิเลสของเราลดลงจนชนะ กิเลสที่เราสะสมได้หรอก แต่สิ่งที่เราจะละลดกิเลสเหล่านี้ได้ต้องมาจากฝึกฝนใจ(จิต)ของเราเท่านั้น เปรียบเหมือนเราจะไปแข่งตีเทนนิส เราได้แต่ดูการตีของนักเทนนิสชั้นนำ จำเคล็ดลับมาได้ทุกกระบวนท่า แต่เราไม่เคยฝึกซ้อมเลย แล้วถ้าแข่งจริง เราน่าจะรู้ผลการแข่งขันได้...

ขอยกตัวอย่างเช่น อิทธิบาท 4 หรือหลักธรรมอันเป็นหลักแห่งความสำเร็จ
ฉันทะ : รักงาน (การเห็นคุณค่า ความรัก ความพอใจ)
วิริยะ : สู้งาน (ความเพียร เห็นเป็นความท้าทาย ใจสู้ ขยัน)
จิตตะ : ใส่ใจงาน (ความคิด อุทิศตัวต่องาน ใจจดจ่อ จริงจัง)
วิมังสา : ทำงานด้วยปัญญา (ไตร่ตรอง พิสูจน์ ทดสอบ ตรวจตรา ปรับปรุงแก้ไข)

จากตัวอย่างข้างบน ถ้าอ่านแล้วคิดก็จะรู้ว่าใช่เลย แต่ถ้าถามว่าแล้วจะทำอย่างไรล่ะ เช่น วิริยะ(สู้งาน) แต่ใจเราขี้เกียจขึ้นมาละ เราจะยังสู้งานอยู่หรือปล่าว หรือ จิตตะ(ใส่ใจงาน) แต่ถ้าใจเรากำลังอกหักอยู่ละ เราจะยังใ่ส่ใจในงานอยู่หรือปล่าว ถ้าใจ(จิต)ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนที่จะรู้ทัน กิเลสจาก ความขี้เกียจ ความหดหู่ ความสิ้นหวัง ฯลฯ ของใจ(จิต)แล้ว อิทธิบาท 4 จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร

เรามาเริ่มฝึกตามรู้ทันใจ(จิต)ของเราเสียตั้งแต่วันนี้ โดยเริ่มเช่นกันกับเราหยอดเงินในกระปุกออมสินเหมือนกัน เช่นวันละครั้ง วันละหลายๆ ครั้ง ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราก็จะร่ำรวยในสติได้เช่นกัน พวกเราปล่อยให้กิเลสสะสมมานานเกินไปแล้ว ขอให้นึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรารู้สติหนึ่งครั้ง กิเลสก็หายหนึ่งครั้งเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ.. บันทึกดูจิต ตอน หัดรู้... หัดดู


จากคราวที่แล้ว.. ที่แนะนำหนังสือ ของ อาจารย์สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา ชื่อ "นับหนึ่ง"... ซึ่งผลงานของอาจารย์มีอีกหลายเล่ม ในความเห็นของผมหนังสือที่น่าจะเป็นภาคต่อของ "นับหนึ่ง" น่าจะเป็นเล่มนี้ แต่ไม่ถึงกับเรียกว่านับสอง.. เพราะหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงแนวทางที่จะเริ่มปฏิบัติและสิ่งที่ต้องเผชิญเมื่อเวลาปฏิบัติ ดังนั้นผมยกให้หนังสือเล่มนี้เป็น "นับหนึ่งจุดห้า" นะครับ (ท่านผู้รู้เริ่มเหล่แล้ว) ขอเข้าเรื่องดีกว่า..

หนังสือเล่มนี้ ถือว่าเป็นขยายความ ของคำว่า "เผลอตัว" และ "รู้สึกตัว" มันแตกต่างกันอย่างไร (แต่บางครั้งผมเองก็ยังแยกไม่ออกเหมือนกัน :p )

ท่านสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จาก เวปนี้ได้เลยครับ Website หรือ Download Acrobat File สำหรับเสียงอ่านของหนังสือเล่มนี้ ผมขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราฟังไปด้วย ลองทำไปด้วย จะสะดวกที่สุดครับ

เพิ่มเติม.. จากที่ได้ลองปฏิบัติ โดยการฟังเสียงอ่านของหนังสือเล่มนี้.. คือเมื่อมีสติถึงช่วงเวลาหนึ่ง เกิดอาการเหมือนจะร้องไห้ อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหล.. ตกใจมาก.. รู้สึกกลัว.. ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อยู่เลย.. จากเหตุการณ์ครั้งนั้น.. เลยตั้งใจว่าจะขอศึกษาแนวทางปฏิบัติ จากครูบาอาจารย์ให้มากกว่านี้ก่อน.. เพราะเราศึกษาด้วยตัวเองอาจจะปฎิบัติผิดแนวทางอยู่ก็ได้..


วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ.. นับหนึ่ง

อยากแนะนำหนังสือของ อาจารย์สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา ชื่อ "นับหนึ่ง"...

ในความเห็นของผมหนังสือเล่มนี้... เปลี่ยนมุมมองการศึกษาศาสนาพุทธ ของผมไปมากเหมือนกัน.. แต่สิ่งหนึ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คือความเบา.. เมื่อเวลารู้สึกตัว

ลองเริ่มต้นด้วยหนังสือเล่มนี้.. จากลิ๊งค์นี้ก็ได้นะครับ ซึ่งมีเสียงอ่านให้ฟังด้วย..


Website หรือ Download Acrobat File หรือ เสียงอ่านจากหนังสือ เสียงไพเราะพร้อมเพลงประกอบ

เมื่อท่านได้อ่านหนังสือนี้จบแล้ว.. ยังมีหนังสือของ อาจารย์สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา อีกหลายเล่ม ที่มีเนื้อหาขยายความเข้าใจเราเพิ่มขึ้นไปอีก.. ลองอ่านเล่มก่อนนะครับ.. คราวหน้าผมจะเอาเล่มอื่นๆ ของอาจารย์มาฝากอีกครับ :-)

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หัวใจนักสู้ของ นิค วูจิซิค


"ถ้าผมล้ม…แล้วยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้นอีกได้ไหม"

เป็นคำพูดที่ "นิค วูจิซิค" (Nick Vujicic) พูดให้ทุกคนฟังเสมอ ถ้าท่านใดยังไม่เคยได้ยิน ลองดู Video นี้แล้วท่านจะเข้าใจถึงคำๆ นี้

หลังจากที่ท่านได้ชม Video แล้วอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมของ "นิค วูจิซิค" ท่านสามารถเข้าไปดู ได้ที่ Link นี้ ซึ่งเขียนเรื่องราวได้ดีที่เดียว

แต่สิ่งที่อยากเก็บไว้ ใน Blog นี้คือ ชายคนนี้เป็นคนที่สร้างกำลังใจ ให้กับเราเพื่อหันกลับมาดูตัวเองว่า เราได้พยายามพอแล้วหรือยัง...


วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Social Network ในที่ทำงาน

คำว่า Social Network นี้เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อปี 2552 นี่เอง แต่คำนี้ผมรู้จักตอนที่ดูหนังฝรั่ง ที่เกี่ยวกับ ผู้ปกครองที่จะต้องมีเครือข่ายระหว่างกัน เพื่อรับข่าวสารระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง และผู้ปกครองกับผู้ปกครองด้วยกัน..

จากลักษณะของการทำงานที่เปลี่ยนไป.. การตรวจแบบบนกระดาษ ส่งเอกสารผ่านคนเดินหนังสือ.. มาเป็นทุกอย่างทำงานผ่านหน้าจอ Computer และส่งเอกสารผ่าน Email หมด.. ทุกคนเมื่อเข้าที่โต๊ะทำงานตัวเอง ซึ่งจะมี Partition กั้นเป็นส่วนตัว แล้วการทำงานก็ดำเนินขึ้นโดย ไม่จำเป็นต้องพูดจาเห็นหน้ากัน ตอบโต้ทุกอย่างเป็น Email, MSM, หรือ Sametime กันไปหมด..

ดูอย่างนี้แล้วดูดีนะ.. แต่กิจกรรมร่วมจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะทุกคนจะเริ่มมีโลกส่วนตัว รับข่าวสารที่ตนเองสนใจเท่านั้น..

ปวดหัวเหมือนกันนะ.. โดยเฉพาะหัวหน้าที่บางครั้งจะขอความร่วมมือในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง.. เอา Partition ออกไปเลยไหม กลับมาทำงานแบบเดิมดีไหม.. โดนด่าแหงๆ

ที่อื่นเขาเป็นอย่างนี้กันบ้างหรือปล่าว.. คงจะมีบ้างละเพราะไม่อย่างนั้น ปีที่ผ่านมา Social Network คงไม่บูมขนาดนี้.. แล้วเขาทำอย่างไรละ.. ก็ Social ผ่านหน้าจอที่ทุกท่านสนใจอยู่นั้นแหละ เข้าไปแทรกโดยไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายหรือน่ารำคาญ พร้อมกับสร้างให้เกิดความผูกพันธ์ ใน Social ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่.. เมื่อถึงวันหนึ่งที่คนเหล่านั้นเกิดความผูกพันธ์ เราก็จะสามารถดึงเขาเข้ามาร่วมกิจกรรมได้ง่ายขึ้น..

เราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่วันนี้.. โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว.. ทำใจที่จะอยู่กับมัน ดีกว่าไหมครับ :-)

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

แนะนำตัว My Blog


สวัสดีครับ :-)


อ่าน Blog ของท่านอื่นๆ มามากแล้ว เลยรู้สึกว่า เวลาที่พระเจ้าให้มา ก็เท่ากัน ทำไมคนอื่นเขาเขียนกันได้ เราก็น่าเขียนได้นะ

เลยมาสมัครที่ Blogger เมื่อวานนี้เอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือปล่าว แต่เห็นว่าใช้ Username/Password ของ Google ใช้ได้เลย ก็คิดว่าน่าจะดีสำหรับอนาคตนะ เพราะ Google คงน่าจะกวาดเอา Content ทั้งหมดมาไว้กับตัวเองทั้งหมด (ไม่รู้เขาคิดหรือปล่าวไม่รู้ แต่เราโมเม้ ให้เขาไปเลย 555)

ความตั้งใจที่จะทำ Blog ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมาก หวังว่าจะเอาเสี้ยวของเวลาที่ถูกทิ้งไปวันๆ เอากลับมาเป็นรอยเท้าให้กับตัวเองในอนาคต

เนื้อหาของ Blog คงไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะเขียนเรื่อง อะไรเป็นพิเศษ แต่ก็คาดหวังว่าจะพยายามหาสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดมาเขียน ก็น่าจะช่วยในการกระตุ้นให้อยากเขียนมากที่สุด

ท้ายนี้ ขอขอบคุณ ทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาแวะเวียนใน Blog นี้ ถ้าเนื้อหาการเขียนนี้ไปกระทบกับรู้สึกท่าน ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้